maple แอ้บเวอร์

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ข้อคิดความรักดีดี จาก ท่าน ว.วชิรเมธี


- จงรักด้วยสมอง แต่อย่ารักจนขึ้นสมอง

   - ที่ใดมีรัก (อย่างขาดสติ) ที่นั่นมีทุกข์

   - ที่ใดมีรัก (อย่างมีสติ) ที่นั่นมีสุข

   -ความรัก ควรถูกนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตที่ดีร่วมกัน ไม่ใช่เป็นตัวทำลายอนาคต

   - รักแท้ที่ยั่งยืน ควรวางรากฐานอยู่บนทฤษฎี ๔ ส. กล่าวคือ
   ๑. สมศรัทธา มีศรัทธาเสมอกัน (เชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งเดียวกัน)
   ๒. สมศีลา มีศีลเสมอกัน (ไม่นอกใจซึ่งกันและกัน)
   ๓. สมจาคา มีความเสียสละเสมอกัน (ลืมความเป็นเธอ ลืมความเป็นฉัน หลอมกันเป็นเรา)
   ๔. สมปัญญา มีปัญญาเสมอกัน (มีระดับสติปัญญาเสมอหรือใกล้เคียงกัน)

- อย่ารักจนหน้ามืดตามัว จนมองไม่เห็นหัวกฏเกณฑ์ทางจริยธรรมของสังคม 

- อย่ารักจนหน้ามืดตามัว กระทั่งมองไม่เห็นหัวของมารดรบิดาบังเกิดเกล้า 

- ทุกครั้งที่มีความรัก ควรเผื่อใจไว้สำหรับการอกหักที่อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ 

- ที่ใดมีรัก ที่นั่น (อาจมีทุกข์) ที่ใดมีกิ๊ก ที่นั่นมีกรรม, ที่ใดมีชู้ ที่นั่นมีช้ำ

- ทุกคนที่มีความรัก ควรภาวนาคาถากันน้ำตาไหลที่ว่า “ไม่แน่ ไม่ได้ดั่งใจ ไม่มีอะไรสมบูรณ์” เอาไว้เสมอ 

- เลือกคนรักอย่ามองแค่หน้าตา แต่จงพิจารณาไปถึงนิสัย สติปัญญา และคุณธรรม

- ผู้ชายจงมองให้เห็นความเป็นแม่ที่มีอยู่ในผู้หญิง ส่วนผู้หญิงจงมองให้เห็นความเป็นพ่อที่มีอยู่ในผู้ชาย

- ความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต อย่าอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรักจนเสียผู้เสียคน

- จงเรียนรู้ที่จะพัฒนาความรักจากระดับสามัญไปสู่รักที่สร้างสรรค์เพื่อ เกื้อกูลโลก เพราะมนุษย์ทุกคนมีความสามารถที่จะรักได้มากกว่าการรักตัวเอง รักแท้ที่ควรสร้างสรรค์มี ๔ ระดับ คือ


๑. รักตัวกลัวตาย (รักพื้นฐานระดับสัญชาตญาณ)
๒. รักใคร่ปรารถนา (รักอิงกามารมณ์)
๓. รักเมตตาอารี (รักอิงสายเลือดและสายสัมพันธ์) 
๔. รักมีแต่ให้ (รักที่ลอยพ้นอัตตา ต้องการพัฒนาทั้งโลกให้มีความสุข)


credit :  zionman : http://board.postjung.com/601209.html

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แอลกอฮอล์ ช่วยบำบัดโรคได้จริงหรือ


เคยสงสัยหรือไม่ เวลาที่นักดื่มบางคนกล่าวอ้างว่า ดื่มแอลกอฮอล์พอเป็นกระษัย ดื่มให้เป็นยา ดื่มแก้โรคความดัน หรือดื่มเพื่อให้หลับสบาย... ไม่ว่าจะเป็นยาดอง สุรา เบียร์ หรือแม้แต่ไวน์ สามารถช่วยบรรเทอาการต่างๆ เหล่านั้นได้จริงหรือไม่

16 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลวิจัยจากประเทศฝรั่งเศส หรือ เฟรนช์พาราดอกซ์ (French Paradox) ทำให้วงการโภชนาการสั่นสะเทือนหลังประกาศว่าแอลกอฮอล์ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ จนเกิดข้อถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย งานวิจัยนี้ศึกษาในฝรั่งเศสที่คนดื่มไวน์เป็นประจำ แต่มีปัญหาโรคหัวใจน้อย ทั้งๆ ที่กินอาหารไขมันสูง ความดีจึงถูกยกให้กับสารแอนติ ออกซิแดนท์ในไวน์แดง แต่นักวิจัยเชื่อว่าสิ่งที่ป้องกันโรคหัวใจที่แท้จริงคือแอลกอฮอล์ในไวน์ ซึ่งน่าจะหมายความว่า ไม่ว่าเบียร์ ไวน์ หรือวิสกี้ อาจให้ประโยชน์ต่อหัวใจพอๆ กันถ้าดื่มพอควร

แอลกอฮอล์กับหัวใจ
ข้อดี นักวิจัยจากฮาร์วาร์ดพบว่า แอลกอฮอล์ช่วยเพิ่มระดับเอชดีแอลซึ่งเป็นคอเลสเทอรอลที่ดี ลดการแข็งตัวของเกล็ดเลือด ลดการดื้อต่ออินซูลิน ช่วยป้องกันโรคหัวใจสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และในผู้ที่มีประวัติหัวใจวายมาก่อน ปัจจุบันนักวิจัยชาวยุโรปเชื่อว่า แอลกอฮอล์เกี่ยวข้องกับระดับสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น สารซีอาร์พี หากทำให้สารนี้ลดลงจะป้องกันโรคหัวใจได้
ข้อเสีย การดื่มแอลกอฮอล์วันละ 3 ดริ๊งค์ขึ้นไปอาจทำให้อ้วน เพิ่มความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง เส้นเลือดสมองตีบหรือแตก หัวใจล้มเหลว ดร.ร็อค แจ็คสัน นักระบาดวิทยาไม่เชื่อในข้อดีของแอลกอฮอล์ เพราะข้อมูลการวิจัยส่วนใหญ่ไม่สามารถพิสูจน์ผลได้ว่าแอลกอฮอล์ให้ผลดีต่อหัวใจจริง

แอลกอฮอล์และสมอง
ข้อดี การดื่มพอควรช่วยป้องกันความเสี่ยงอัลไซเมอร์และความจำเสื่อม เมื่อนักวิจัยแห่งศูนย์การแพทย์เบธอิสราเอดีคอเนสในรัฐบอสตัน เปรียบเทียบผู้ที่ไม่ดื่มเลยกับผู้ที่ดื่มสัปดาห์ละ 1 6 ดริ๊งค์ โดยใช้อาสาสมัคร 6,000 คน พบว่าผู้ที่ดื่มมีความเสี่ยงโรคความจำเสื่อมน้อยกว่า งานวิจัยจากฮาร์วาร์ดยังแสดงว่า ผู้หญิงที่ดื่มวันละดริ๊งค์มีความเสี่ยงจากสโตร๊คชนิดหลอดเลือดแดงอุดตันเพียงครึ่งเดียว






ข้อเสีย การดื่มมากเร่งให้สมองเสื่อมเร็ว ร่างกายขาดวิตามินบี 1 ถ้ารุนแรงอาจทำให้ความจำ การเรียนรู้ลดลง เพิ่มความเสี่ยงสโตร๊คหรือภาวะเสี่ยงอันตรายอันเกิดจากสมองไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ แอลกอฮอล์และเบาหวาน

ข้อดี การดื่มในระดับน้อยถึงปานกลางช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานลงได้ 36 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังลดความเสี่ยงโรคหัวใจในผู้ป่วยเบาหวานด้วย

ข้อเสีย ทำให้อ้วน เพราะแอลกอฮอล์ให้แคลอรีสูง ซึ่งอาจนำมาสู่โรคเบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจผู้ดื่มหนักอาจเสี่ยงโรคเมตาโบลิกซินโดรม (อ้วนลงพุงร่วมกับร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ความดันโลหิตสูงคอเลสเทอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง รวมทั้งอันตรายต่อตับ) โดยเฉพาะในผู้ที่เริ่มดื่มเมื่ออายุยังน้อย

แอลกอฮอล์และโรคมะเร็ง

ข้อดี ไวน์แดงและเบียร์ดำมีสารพอลิฟีนอล ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนท์สูง (เช่นเดียวกับผลไม้ ผักและชา) ช่วยป้องกันมะเร็งได้ ฮ็อปซึ่งใช้ผลิตเบียร์มีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ชื่อว่า แซนโทฮูมอล (xanthohumol) ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งและเพิ่มฤทธิ์เอนไซม์ซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านมะเร็ง

ข้อเสีย การดื่มมากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งในช่องปาก หลอดอาหาร กระเพาะ ตับ เต้านม และลำไส้ใหญ่ สมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกาเน้นว่า การดื่มเพียงวันละดริ๊งค์ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้แล้ว

แอลกอฮอล์และกระดูก

ข้อดี การกินอาหารที่มีซิลิคอนสูงช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกสะโพก ป้องกันกระดูกแตกหักนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทัฟพบว่าเบียร์มีสารซิลิคอนสูง ซึ่งช่วยสะสมแคลเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ ในกระดูก

ข้อเสีย ซิลิคอนพบมากในอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะธัญพืชไม่ขัดสีและผักประเภทหัว จึงไม่จำเป็นต้องดื่มจากเบียร์ เพราะแอลกอฮอล์รบกวนการสร้างกระดูกและการทำงานของแคลเซียม วิตามินดี และฮอร์โมนเอสโทรเจน จึงเพิ่มความเสี่ยงกระดูกพรุนและทำให้กระดูกแตกหักจากการหกล้มได้ง่าย

ความอ้วนกับแอลกอฮอล์

แคลอรีจากแอลกอฮอล์มักสะสมที่พุงมากกว่าแคลอรีจากอาหารชนิดอื่นๆ แต่การดื่มน้อยกลับเป็นผลดีในการลดพุงได้ แต่ต้องเป็นวันละ 1 ดริ๊งค์เท่านั้น งานวิจัยจากคลินิกเมโยในผู้ใหญ่ 8 - 200 คน พบว่าผู้ที่ดื่มวันละดริ๊งค์ลดความเสี่ยงพุงพลุ้ยลงถึง 54 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่ม แต่การดื่มมากกว่า 4 ดริ๊งค์ขึ้นไปเพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน 46 เปอร์เซ็นต์ เพราะแคลอรีที่ได้จากอาหารจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกายยกเว้นว่าเพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้น

ไวน์แก้วขนาด 150 มิลลิลิตรหรือเบียร์ประมาณ 360 มิลลิลิตร (1 กระป๋อง) ให้พลังงานเฉลี่ย 100 - 150 กิโลแคลอรี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผสมเครื่องดื่มอย่างอื่นอาจมีพลังงานสูงถึงหลายร้อยกิโลแคลอรี ยิ่งกว่านั้น เมื่อเวลาที่ดื่มสังสรรค์มักจะมีอาหารที่มีแคลอรีสูงกินร่วมด้วย จึงทำให้อ้วนได้ง่าย

สรุปแล้ว การดื่มแอลกอฮอล์พอประมาณให้ประโยชน์แก่ร่างกาย แต่ไม่จำเป็นที่ต้องแนะนำให้ดื่มเพื่อสุขภาพ ผู้ที่ควรงดได้แก่หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร หรือผู้ขับขี่ยานพาหนะ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรผู้มีปัญหาไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง ตับอ่อนอักเสบหัวใจล้มเหลว หรือผู้รับประทานยาบางชนิดเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ถึงความปลอดภัยในการดื่มด้วย เพราะแอลกอฮอล์อาจมีผลรบกวนต่อการทำงานของยา

credit : 
JiNOz : 
http://board.postjung.com/600036.html



















ส้มตำ


ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีการนำมะละกอดิบมาปรุงเป็นส้มตำเป็นครั้งแรกเมื่อใด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงที่มาของส่วนประกอบต่างๆ ของส้มตำ อาจได้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการสันนิษฐานถึงที่มาของส้มตำได้
มะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและถูกนำเข้ามาปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยชาวสเปนและโปรตุเกส ในยุคต้นของกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่พริกอาจถูกนำเข้ามาเผยแพร่โดยชาวฮอลันดาในช่วงเวลาต่อมา
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีทูตชาวฝรั่งเศสผู้มาเยือนกรุงศรีอยุธยา คือ นิโคลาส์ แชรแวส และ เดอ ลาลูแบร์ ต่างได้พรรณาว่าในเวลานั้นมะละกอได้กลายเป็นพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่งของสยามไปแล้ว และได้กล่าวถึง กระเทียม มะนาว มะม่วง กุ้งแห้ง ปลาร้า ปลากรอบ กล้วย น้ำตาล แตงกวา พริกไทย ถั่วชนิดต่างๆ ที่ล้วนสามารถใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับปรุงส้มตำได้ ขณะเดียวกันได้เขียนว่า ในขณะนั้นสยามไม่มี กะหล่ำปลี และ ชาวสยามนิยมบริโภคข้าวสวย อย่างไรก็ตามไม่มีการกล่าวถึง มะเขือเทศ และ พริกสด แต่อย่างใด
ในปัจจุบัน ส้มตำเป็นอาหารที่แพร่หลายและนิยมรับประทานทุกภาคของประเทศไทย และยังเป็นอาหารไทยที่ขึ้นหน้าขึ้นตาต่อชาวโลกอีกด้วย

ตำหมากหุ่ง: ส้มตำในภาคอีสานและประเทศลาว

ในภาษาลาวเรียกส้มตำว่าตำหมากหุ่ง (หมากหุ่งหมายถึงมะละกอ) เครื่องปรุงโดยทั่วไปประกอบด้วยมะละกอสับเป็นเส้น เกลือ ผงชูรส พริก
กระเทียม น้ำตาล น้ำปลา น้ำปลาร้าหรือน้ำปลาแดก มะนาว ถั่วฝักยาว และอื่นๆ


credit :  หอมเป : http://board.postjung.com/601542.html

10 โรคประหลาด ที่ไม่น่าเป็นที่สุดในโลก

 โลกเรายังมีโรคแปลกๆ ที่ยังรักษาไม่หายอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่แพทย์ยังไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ซึ่ง 10 โรคต่อไปนี้เราอาจจะเคยได้ยิน หรือเห็นคนเป็นโรคมาบ้าง แต่บางโรคก็ไม่เคยได้ยินเลย และเพิ่งจะรู้ว่ามีโรคนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ 

          1 .โรคค็อดทาร์ดหรือโรคศพเดิน (Walking Corpse Syndrome)           เป็นหนึ่งในโรคทางจิต ตั้งชื่อตามนายแพทย์จูลส์ ค็อดทาร์ด แพทย์ด้านสมองชาวฝรั่งเศส ที่พบว่าผู้ป่วยคนหนึ่งของเขาเป็นโรคนี้ นายแพทย์ค็อดทาร์ดกล่าวถึงผู้ป่วยที่เขารักษาว่า "เธอไม่เชื่อว่าเธอมีอวัยวะ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องกินอาหาร" 

          ผู้ป่วยมีความเชื่อว่าสูญเสียอวัยวะสำคัญ แม้กระทั่งสูญเสียวิญญาณ ผู้ที่เป็นมากๆ จะเชื่อว่าตนตายไปแล้ว ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเน่าจากเนื้อของตัวเอง รู้สึกว่าเหมือนหนอนกำลังกัดกินเนื้อ บางคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีกระเพาะ จึงไม่กินอาหาร เป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคเสพยาบ้า โคเคน มากเกินไป และอาจเกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน 

           2. โรคแวมไพร์ซินโดรม 

          ได้ชื่อว่าแวมไพร์ต้องนึกถึงผีค้างคาวดูดเลือด ที่ออกอาละวาดในยามราตรี แต่กลัวแสงสว่างเป็นที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้ก็เช่นกัน คือกลัวแสงสว่าง เพราะเมื่อถูกแสงแดดแล้วจะเจ็บปวดอย่างมหาศาล ผิวแห้งแตกเป็นขุย มีรอยไหม้ 

           3. โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน (Jumping Frenchman of Maine Disorder) 

          เป็นโรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด อธิบายไว้เป็นคนแรก เมื่อค.ศ.1878 คาดว่าผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ผู้ป่วยจะเกิดอาการเมื่อถูกกระตุ้น เช่น ถ้าตะโกนดังๆ ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น มีผู้ตะโกนว่า "ตบหน้าเมีย" ก็จะกระโดดเข้าไปตบหน้าภรรยาของตนเองทันที หรือถ้าได้ยินประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ 

           4. โรคเส้นบลาชโค (Blaschko"s lines) 

          ผู้เป็นโรคจะลายริ้วๆ ไปทั้งตัว นับเป็นโรคหายากอีกโรคหนึ่ง ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักกายวิภาค ผู้ที่กล่าวถึงโรคนี้เป็นครั้งแรกคือนายแพทย์อัลเฟรด บลาชโค แพทย์ด้านผิวหนังชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงอาการของผู้เป็นโรคเมื่อค.ศ.1901 บริเวณกระดูกสันหลังจะเป็นเส้นรูปตัว V บริเวณหน้าอก ท้อง และข้างลำตัวจะเป็นเส้นรูปตัว S  

           5. โรคพิคา หรือโรคที่กินวัตถุที่ไม่สามารถบริโภคได้ 
          ผู้ที่เป็นโรคจะมีความอยากกินวัตถุที่ไม่ใช่อาหารมาก เช่น ดิน กระดาษ กาว โคลน ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีวิธีรักษา แต่เป็นไปได้ว่าร่างกายขาดแร่ธาตุบางอย่าง 

           6. โรคอลิซในแดนมหัศจรรย์ หรือ "ไมครอพเซีย" 

          เกิดจากความผิดปกติของสมอง ที่แปรสัญญาณไปยังสายตาผู้ป่วยให้มองทุกอย่างเล็กจากความเป็นจริง ทั้งที่สายตาของผู้ป่วยไม่มีความผิดปกติใดๆ เช่น มองสุนัขที่เลี้ยงไว้ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่าหนู รถยนต์คันใหญ่ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่ากับรถเด็กเล่น 

           7. โรคบลูสกิน หรือ "โรคผิวสีน้ำเงิน" 

          ผู้เป็นโรคจะมีร่างกายเป็นสีน้ำเงิน ที่สหรัฐเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ครอบครัวของนายมาร์ติน ฟูเกต เด็กกำพร้าชาวฝรั่งเศส และเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณลำธารทร็อบเบิ้ลซัมครีก รัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อค.ศ.1820 เป็นโรคนี้กันอย่างถ้วนหน้า เริ่มจากที่นายฟูเกตเองที่เป็นโรคอยู่แล้ว เมื่อเขาสมรสกับหญิงปกติ ลูก 4 ใน 7 คนเป็นโรคสีน้ำเงินเหมือนพ่อ ลูกหลานที่มาจากเชื้อสายนี้อีก 6 ชั่วคนยังเป็นโรคนี้ด้วย โดยหนูน้อยเบนจามิน สเตซี่ ที่มีเชื้อสายฟูเกต เป็นคนในตระกูลล่าสุดที่เป็นโรค โชคดีที่เด็กชายไม่เป็นมาก เพียงไม่นานหลังจากเกิดก็หาย ปัจจุบันเด็กชายอายุ 8 ขวบ 

           8. โรคเวอร์วูล์ฟซินโดรม 

          ผู้ป่วยจะมีขนยาวรุงรังตามหน้าตา แขนขา ทุกส่วนของร่างกาย คาดว่าปัจจุบันมีผู้เป็นโรคประมาณ 50 คนจากทั่วโลก เช่น เด็กชายปรัชวิราช พาทิล ชาวอินเดีย ที่ต้องเจ็บปวดจากการล้อเลียนของเพื่อนๆ และสังคม ซึ่งครอบครัวพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ทั้งใช้เลเซอร์แบบแพทย์แผนปัจจุบัน ไปจนถึงการรักษาแบบทางเลือก อายุรเวช 

           9. โรคมือเท้าช้างหรือ "เอเลแฟนต์เทียซิส" 

          เป็นโรคที่พบเห็นกันค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มียุง เนื่องจากยุงเป็นพาหะของโรค โดยจะแพร่หนอนปรสิตวูชีเรเรียแบนครอฟตี หนอนปรสิตบรูเจียมาลายี หนอนปรสิตบี.ทิโมลี มายังคน ทำให้ไข่ของหนอนปรสิตเข้ามาในกระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย มันอาจใช้เวลาฟักตัวนานหลายปี 

          ที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนระบุว่า โรคมือเท้าช้างเป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค อาการที่เห็นได้ชัดคือ ขา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง 

          โรคเท้าช้างในประเทศไทยมี 2 ชนิด           - ชนิดแรกเกิดจากเชื้อบรูเจียมาลายี มักมีอาการแขนขาโต พบมากในบริเวณที่ราบทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาส โดยมี "ยุงลายเสือ" เป็นพาหะ ยุงชนิดนี้กัดกินเลือดของสัตว์และคน ชอบออกหากินเวลากลางคืน มีแหล่งเพาะพันธุ์ตามแอ่งหรือหนองน้ำที่มีวัชพืชและพืชน้ำต่างๆ เช่น จอก ผักตบชวา แพงพวยน้ำ หรือหญ้าปล้อง  

          - ชนิดที่สองเกิดจากเชื้อวูชีเรเรียแบนครอฟตี มักทำให้เกิดอาการบวมโตของอวัยวะสืบพันธุ์และแขนขา พบมากในบริเวณภาคตะวันตกของประเทศไทย เช่น ที่อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อำเภอละอุ่น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เป็นต้น ยุงพาหะนำโรคเท้าช้างชนิดนี้ได้แก่ "ยุงลายป่า" เพาะพันธุ์ตามป่าไผ่ ในโพรงไม้ และกระบอกไม้ไผ่ ปัจจุบันพบว่าเชื้อโรคเท้าช้างชนิดวูชีเรเรียแบนครอฟตี สายพันธุ์ที่นำเข้าโดยผู้อพยพจากชายแดนไทย-พม่า มียุงพาหะหลายชนิดรวมทั้งยุงรำคาญ ซึ่งเป็นยุงบ้านที่พบได้ทั่วไป  

          คนที่มีอาการมักจะเกิดจากการที่ถูกยุงที่มีเชื้อพยาธิเท้าช้างกัดซ้ำหลายครั้ง อาการในระยะแรก ผู้ป่วยอาจมีไข้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรืออัณฑะ เนื่องจากพยาธิตัวแก่ที่อยู่ในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อภายใน รวมทั้งมีการปล่อยสารพิษออกมาด้วย อาการอักเสบจะเป็นๆ หายๆ อยู่เช่นนี้ และจะกระตุ้นให้เกิดอาการบวมขึ้น หากเป็นนานหลายปีจะทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวรและผิวหนังหนาแข็งขึ้นจนมีลักษณะขรุขระ 

           10. โรคโพรจีเรีย หรือ "โรคแก่ก่อนวัยอันควร" 
          เป็นโรคที่เกิดจากรหัสทางพันธุกรรมตัวหนึ่งบกพร่อง ทำให้ผู้ป่วยมีรูปร่างหน้าตาแก่กว่าอายุจริงมาก ส่วนใหญ่แล้วเด็กจะอายุสั้น คือไม่เกิน 13 ปี มักเสียชีวิตจากสาเหตุหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย อาการของผู้เป็นโรคคือ หัวล้าน กระดูกบาง มีรูปร่างเตี้ยแคระ มักเจ็บปวดตามข้อ แต่เมื่อแรกเกิดแล้วจะดูเหมือนกับเด็กปกติ




credit :  sopranonuey : http://board.postjung.com/601684.html

8 สัญญาณส่อแววว่าคุณใกล้ขึ้นคาน! คาน! คาน!

สาวๆที่กำลังมองหาหนุ่มคู่ใจสักคน หรือกำลังรอรถด่วนขบวนสุดท้าย ลองมองดูนิสัยของตัวเองก่อนว่าอยู่ในแววที่จะขึ้นคานหรือไม่

1.บงการและควบคุมทุกอย่าง ถ้าคุณเป็นคนชอบชี้นิ้วสั่งบงการผู้ชายที่เข้ามาชีวิตทุกคน และไม่พอใจทุกครั้งเมื่อเขาทำในสิ่งที่ต้องการให้ไม่ได้ รู้ไว้เลยว่านี่คือหนึ่งนิสัยที่ผู้ชายยี้มากที่สุด
2.สนใจแต่ผลประโยชน์ ถ้าคุณใช้เงินและช่วงโปรโมชั่นในการเอาใจของผู้ชายเป็นเกณฑ์ในการคบ หวังแต่ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากเขา โดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ทางด้านจิตใจ สักวันหนึ่งจะไม่มีใครทนได้และค่อยๆจากคุณไปทีละคน
3.ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต่อให้มีความสวยงามมากมายแค่ไหน แต่ถ้าไม่กล้าคิด ไม่กล้าตัดสินใจเอง จิตใจวอกแวก ลังเลในทุกเรื่อง และให้ผู้ชายเป็นผู้นำตลอด คุณจะกลายเป็นผู้หญิงน่ารำคาญในทันที และไม่นานก็จะถูกผู้ชายทิ้งไป
4.ขี้เหนียว สาวที่คิดว่าการที่ผู้ชายเข้ามาจีบแล้วต้องเลี้ยงตัวเองตลอด ไปไหนมาไหนก็จะไม่พกเงินไป หวังใช้เสน่ห์ลูกอ้อนให้เขาออกเงินให้ทุกครั้ง คุณจะทำอย่างนี้อยู่ได้ไม่นาน พอถึงเวลาที่ผู้ชายทนไม่ไหวเขาก็จะทิ้งคุณไปอย่างไม่ใยดี
5.เรื่องมากเอาใจยาก ถ้าคุณเป็นสาวประเภทไม่ว่าผู้ชายจะพยายามทำอะไรให้มากมายเท่าไหร่ สิ่งที่ตอบแทนกลับมามีเพียงความไม่พอใจ และหงุดหงิดทุกครั้งเมื่อได้รับสิ่งที่ไม่ชอบ คุณเป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องเตรียมตัวนั่งบนคานในภายภาคหน้าแน่นอน
6.เห็นแก่ตัว การที่จะลองคบกับใครสักคน แล้วไม่ยอมเปิดใจและกล้าที่จะเสียสละบางเรื่องซึ่งกันและกัน เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่ คุณจะถูกมองเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยแย่และเห็นใจแก่ตัวอย่างมากในสายตาผู้ชาย
7.ไม่มีเหตุผล การงี่เง่าไม่มีเหตุผลบางคนบอกเป็นนิสัยที่คู่กับผู้หญิง แต่ถ้าสาวคนไหนมีนิสัยข้อนี้มากเกินไป และพร้อมที่จะไม่มีเหตุผลในทุกเรื่อง บอกได้คำเดียวว่าเตรียมจองคานส่วนตัวได้เลยในอนาคต
8.ขี้บ่น แม้โดยธรรมชาติของผู้หญิงแล้วมักจะขี้บ่นชอบพูดจาเจื้อยแจ้ว  แต่ลองสาวไหนพูดได้ทั้งวันแต่ไม่ได้พูดจาฉอเลาะให้พวกผู้ชายชื่นใจ กลับเป็นการหาเรื่องบ่นได้ทุกเรื่องและด่าว่าทุกครั้งที่มีโอกาส รับรองว่าในอนาคตคุณต้องได้ยืนบ่นอยู่คนเดียวไม่มีใครฟังข้างๆ แน่นอน.
สาวๆคนไหนถ้ามีพฤติกรรมแบบนี้ก็ควรปรับเปลี่ยนดีกว่านะคะ เดี๋ยวหนุ่มๆจะหันหน้าหนี เซย์ good bye กันไปซะก่อนละ ^^


credit : Missday : http://women.postjung.com/1152.html



คำว่า “ฉันรักเธอ” ของแต่ละประเทศ



พม่า เรียกว่า จิต พา เด (chit pa de)
เขมร เรียกว่า บอง สรัน โอน (Bon sro Iahn oon)
เวียดนาม เรียกว่า ตอย ยิ่ว เอ๋ม (Toi yue em)
มาเลเซีย เรียกว่า ซายา จินตามู (Saya cintamu)
อินโดนีเซีย เรียกว่า ซายา จินตา ปาดามู (Saya cinta padamu)
ฟิลิปปินส์ เรียกว่า มาฮัล กะ ตา (Mahal ka ta)
ญี่ปุ่น เรียกว่า คิมิ โอ ไอ ชิเตรุ (Kimi o ai eru)
เกาหลี เรียกว่า โน รุย สะรัง เฮ (No-rui sarang hae)
เยอรมัน เรียกว่า อิคช์ ลิเบ ดิกช์ (Ich Liebe Dich)
ฝรั่งเศส เรียกว่า เฌอแตม (Je t’aime)
ฮอลแลนด์ (ดัชต์) เรียกว่า อิค เฮา ฟาวน์ เยา (Ik hou van jou)
สวีเดน เรียกว่า ย็อก แอลสการ์ เด (Jag a Lskar dig)
อิตาลี เรียกว่า ติ อโม (Ti amo)
สเปน เรียกว่า เตอ เควียโร (Te quiero)
รัสเซีย เรียกว่า ยาวาส ลุยบลิอู (Ya vas Liubliu)
โปรตุเกส เรียกว่า อโม-เท (Amo-te)
จีนกลาง เรียกว่า หว่อ อ้าย หนี่ (Wo ai ni)
จีนแคะ เรียกว่า ไหง อ้อย หงี (Ngai oi ngi)
ฮกเกี้ยน เรียกว่า อั๊ว ลู่ (Auo ai Lu)
ตุรกี เรียกว่า เซนี เซวีโยรัม (Seni Seviyorum)


credit :  Missday : http://board.postjung.com/601867.html


"ขุนรองปลัดชู" วีระชนไทย

อนุสาวรีย์ขุนรองปลัดชู ที่วัดสี่ร้อย ตำบลสี่ร้อย อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง



ประวัติ



ตามข้อมูลในท้องถิ่นอำเภอวิเศษชัยชาญกล่าวว่า ขุนรองปลัดชูมีชื่อตัวว่า "ชู" เป็นครูดาบอาทมาตผู้มีฝีมือในเขตเมืองวิเศษไชยชาญ มีลูกศิษย์จำนวนมากและเป็นที่เคารพนับถือโดยทั่วไปในแถบนั้น นายชูได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรมการเมืองวิเศษไชยชาญตำแหน่ง "ปลัดเมือง" ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ชาวบ้านจึงเรียกชื่อคนผู้นี้โดยทั่วไปว่า "ขุนรองปลัดชู"
เมื่อสามารถระดมไพร่พลเข้าเป็นอาสาสมัครกองอาทมาตได้ 400 คนแล้ว ขุนรองปลัดชูได้นำกำลังของตนเข้าสมทบกับกองทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ (พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียมและพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ออกชื่อเป็น พระยาธรรมา) ซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปตั้งทัพสกัดกองทัพพม่าภายใต้การนำของเจ้ามังระราชบุตรและมังฆ้องนรธา อันยกมาทางเมืองมะริดและตะนาวศรี หลังจากตีทัพของพระยายมราชแห่งอยุธยาที่แก่งตุ่มแขวงเมืองตะนาวศรีแตกแล้ว ทัพดังกล่าวจึงเดินทางข้ามด่านสิงขรมุ่งสู่เมืองกุยบุรีเพื่อใช้เส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา พระยารัตนาธิเบศร์ซึ่งรั้งทัพอยู่ที่กุยบุรีจึงส่งกองอาทมาตของขุนรองปลัดชูให้มาสกัดทัพอยู่ที่อ่าวหว้าขาว (ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลอ่าวน้อย อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์)
กองอาทมาตของขุนรองปลัดชูได้ปะทะกับกองทัพพม่าซึ่งมีกำลังราว 8,000 คน ตั้งแต่เช้าจรดเที่ยงก็ยังไม่แพ้ชนะ แต่ด้วยจำนวนที่น้อยกว่าและไม่ได้รับกำลังเสริมจากทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ (พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียมและพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวว่า ได้รับไพร่พลจากทัพหลักเป็นกองหนุนสมทบอีก 500 คน) กองอาทมาตจึงตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบเพราะความอ่อนล้า และถูกฝ่ายตรงข้ามไล่ต้อนลงทะเลฆ่าฟันจนเสียชีวิตทั้งหมดในวันนั้น ด้านทัพของพระยารัตนาธิเบศร์เมื่อทราบว่ากองอาทมาตของขุนรองปลัดชูแตกพ่าย จึงได้เร่งเลิกทัพหนีกลับมายังกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับทัพของพระยายมราช และกราบทูลรายงานการศึกว่า "ศึกพม่าเหลือกำลังจึงพ่าย" ส่วนกองทัพพม่าเมื่อผ่านเมืองกุยบุรีได้แล้วก็ยกทัพมายังกรุงศรีอยุธยาโดยสะดวก เนื่องจากแนวรับต่างๆ ในลำดับถัดมาของฝ่ายอยุธยาถูกตีแตกในเวลาอันสั้น




บันทึกในพงศาวดาร

เรื่องราวของขุนรองปลัดชูมีกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเพียงสั้นๆ ดังนี้ (ในที่นี้เน้นด้วยการขีดเส้นใต้)
ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสทราบนั้นแล้ว จึงดำรัสให้พระยายมราชเป็นทัพหน้า พลทหาร ๓๐๐๐ ทัพหนึ่ง ให้พระยาธารมาถืออาญาเป็นแม่ทัพ พลทหาร ๒๐๐๐ ยกไปตั้งเมืองกุยบุรีพะม่ายกขึ้นมาตีทัพพระยายมราชณแกงตุมแตก พระยาธารมาจึงเกณฑ์ไพร่ ๕๐๐ เข้าบรรจบกองปลัดชู แล้วให้ยกไปตั้งตำบลอ่าวขาวริมทะเล ฝ่ายทัพหน้าพะม่ายกขึ้นมาตี กองปลัดชูก็แตกพ่าย พระเจ้าอังวะจึงดำเนินทัพเข้ามาณเมืองกุย เมืองปราณ เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี



credit :  หอมเป : http://board.postjung.com/601922.html

อาณาจักรอิศานปุระ

อาณาจักรอิศานปุระ (พุทธศตวรรษที่12-18)หรือเจนละ เป็นอาณาจักรโบราณในภาคอีสานส่วนมากและภาคกลางในประเทศไทย ในสมัยอาณาจักรอิศานปุระนี้ยุคขอมรุ่งเรืองในสมัยพระเจ้าอิศานวรมัน มีเขียนอยู่ในบันทึกของราชทูตจีน โจว ต้ากวน เขาเขียนบันทึกเรื่องราวของอาณาจักรอิศานปุระไว้ชื่อว่า " บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจนละ " ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยุคที่อาณาจักรขอมรุ่งเรืองทางด้านศิลปะวิทยาการสูงสุด มีการสร้างศาสนสถานเป็นปราสาทหินขนาดใหญ่ในพื้นที่หลายพื้นที่

สิ่งก่อสร้างในสมัยอิศานปุระ

สิ่งก่อสร้างในสมัยอิศานปุระนั้น ยังปรากฏให้เห็นได้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นปรสาทหินรูปแบบขอมโบราณ เช่น
  • ปราสาทนครธม 
  • ปราสาทตาพรหม จ.นครราชสีมา
  • ปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมา
  • ปราสาทปรางค์กู่ จ.ชัยภูมิ
  • ปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์
  • ปราสาทเมืองต่ำ จ.บุรีรัมย์
  • ปราสาทศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์
  • พระปรางค์สามยอด จ.ลพบุรี
  • ปราสาทเมืองสิงห์ จ.กาญจนบุรี
นอกจากนี้แล้วยังมีแหล่งโบราณสถานอิศานปุระอีกหลายแห่งกระจายอยู่ทั่วภาคอีสานอีกด้วย

อีสาน(ตะวันออกเฉียงเหนือ)

อีสาน เป็นชื่อเรียกพื้นที่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยมีหลักหมายเอากรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง

  แรกมีประกาศให้เรียกภาคอีสานเป็นทางการ เมื่อ พ.ศ.2456  ในรัชกาลที่ 6
 ก่อนได้ชื่อภาคอีสาน บริเวณนี้ถูกเรียกว่าลาว  เช่น  ลาวฝ่ายตะวันออก, ลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ, ลาวฝ่ายเหนือ, ลาวฝ่ายกลาง
 ต่อมา พ.ศ.2442  รัชกาลที่ 5 โปรดให้เรียกรวมว่า มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ แต่หมายรวมเฉพาะลุ่มแม่น้ำมูลถึงอุบลราชธานี, จัมปาสัก ,ฯลฯ
 ทุกวันนี้เรียกทั้งชื่ออีสาน และตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นดินแดนเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยและภูมิภาคสุวรรณภูมิ
 น้ำทะเลเคยทะลักเข้ามาอยู่ในแอ่งโคราช เมื่อ 135 ล้านปีมาแล้ว  ทำให้เกิดชั้นเกลือและยิปซัมบริเวณนี้

ศาสนาและความเชื่อ


ด้านศาสนาและความเชื่อได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พระพุทธศาสนานิกายอาจริยวาทหรือมหายาน ดังจะเห็นได้จากโบราณสถานและโบราณวัตถุ เช่น ปราสาทหิน เทวรูปพระโพธิ์สัตว์ ศิวลึงค์ พระพุทธรูปปางนาคปรก ความเชื่อเรื่องพญานาค เป็นต้น

credit :  หอมเป : http://board.postjung.com/601926.html

ของสะสมสุดสยอง(รอยสักนักโทษ)

ของสะสมสุดสยอง ไหบรรจุรอยสักนักโทษ
ของสะสมสุดสยอง ไหบรรจุ รอยสักนักโทษ เป็นของสะสมที่ แปลก สยองขวัญจริงๆ  เมื่อมีการนำเอา นักโทษ ที่เสียชีวิตแล้วมากรีดเอาผิวหนังที่มี รอยสัก มาเก็บสะสมไว้ในไห สยอง จริงๆ


credit :  ชายเอกผู้ดีอังกฤษ : http://board.postjung.com/601955.html



"พระวอ" วีระชนผู้ไทย


เจ้าพ่อพะวอ นายด่านแม่ละเมา
เมืองหน้าด่านสำคัญทางเหนือของไทย
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
.........
หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงกอบกู้เอกราช
ขับไล่อำนาจพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ
และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2311
ทรงพระนามว่า พระบรมราชาที่ 4
...........
ครั้งนั้นกรุงศรีอยุธยาทรุดโทรมเสียหายอย่างหนัก
ข้าศึกศัตรูมีทั้งศึกภายนอกโดยเฉพาะจากพม่า
และศึกภายในจากคนไทยที่ตั้งตัวเป็นใหญ่
ทำให้พระราชกรณียกิจส่วนใหญ่ของพระองค์
เป็นเรื่องของการทำสงคราม
เจ้าพ่อพะวอ ชายชาตินักรบแห่งด่านแม่ละเมา
ต้องรับศึกครั้งใหญ่ในเดือน 11 ปี พ.ศ.2318
เมื่อพม่าเคลื่อนทัพเข้ามาในเขตแดนไทย
เจ้าพ่อพะวอมีใบบอกไปยังเมืองหลวง
แต่การเดินทางในสมัยนั้นจากแม่ละเมาถึงธนบุรี
ก็ไม่ทันกองทัพข้าศึกที่ประชิดชายแดน

เจ้าพ่อพะวอตัดสินใจนำกำลังที่มีอยู่ปะทะกับข้าศึก
ทหารทุกท่านกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว สู้รบอย่างเต็มกำลัง
และเมื่อทัพหลวงไปถึง....
ก็ต้องพบแต่ร่างไร้วิญญาณของผู้กล้าที่มือยังกำดาบ
ณ ยุทธภูมิด่านแม่ละเมา เชิงเขาแห่งนี้

วีรกรรมของท่าน เลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน
เพื่อประกาศให้อนุชนได้รับรู้ว่า....
เจ้าพ่อพะวอ คือชายชาตินักรบผู้กล้า
ที่สละชีพเพื่อรักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานไทย
...........
ศาลเจ้าพ่อพะวอแห่งนี้ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2507
ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยทุกคน
ให้ความเคารพสักการะ
และ..ระลึกถึงคุณความดีที่ท่านโดยตั้งจิตอธิษฐาน
ว่าจะทดแทนคุณแผ่นดินที่ท่านรักษาไว้ให้นี้..ตลอดไป
..........




credit :  หอมเป : http://board.postjung.com/601917.html